วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

ความเป็นมาของสวนพฤกษศาสตร์

ตามที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำริบางประการเกี่ยวกับ การอนุรักษ์พันธุกรรมพืช "การสอนและอบรมให้เด็กมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์พืชพรรณนั้น ควร ใช้วิธีการปลูกฝังให้เด็กเห็นความงดงาม ความน่าสนใจ และเกิดความปิติที่จะทำการ ศึกษาและอนุรักษ์พืชพรรณต่อไป การใช้วิธีการสอนการอบรมที่ให้เกิดความรู้สึกกลัวว่า หากไม่อนุรักษ์แล้วจะเกิดผลเสีย เกิดอันตรายแก่ตนเอง จะทำให้เด็กเกิดความเครียด ซึ่งจะเป็นผลเสียแก่ประเทศในระยะยาว"
โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจาก พระราชดำริฯ ได้ดำเนินงานสนองพระราชดำริ จัดตั้งงาน "สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน" เพื่อเป็นสื่อในการสร้าง จิตสำนึกด้านอนุรักษ์พันธุกรรมพืช โดยให้เยาวชนนั้น ได้ใกล้ชิดกับพืชพรรณไม้ เห็นคุณค่า ประโยชน์ ความ สวยงาม อันจะก่อให้เกิดความคิดที่จะอนุรักษ์พืชพรรณ ต่อไป ซึ่งสามารถดำเนินการสวนพฤกษศาสตร์ในพื้นที่ของโรงเรียน โดยมีองค์ประกอบดังกล่าว เป็นสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน ใช้ในวัตถุประสงค์ดังกล่าว อีกทั้งใช้ในการศึกษาและเป็น ประโยชน์ต่อเนื่องใน การเรียนการสอนวิชาต่างๆ




แหล่งอ้างอิง: http://www.rspg.or.th/botanical_school/school_bot_11.htm

วัตถุประสงค์การจัดทำ

1.เพื่อจัดทำข้อมูลของพืชแต่ละชนิดในสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนตามความสนใจของแต่ละบุคคล
2.เพื่อให้ความรู้และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านที่สนใจในพืชชนิดนั้นๆ

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

1.สมาชิกมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะต่างๆของพืชในสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน
2.ผู้อ่านได้รับความรู้ความเข้าใจจากเว็บไซต์มากขึ้น
3.เสริมสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์พรรณพืช

กลอนสวนพฤกษศาสตร์

          ต้น "มะลิ" แลอร่ามงามผ่องผุด                      ดอกพิศุทธิ์ขาวขาวสกาวใส
น้ำมะลิหอมชื่นรื่นหทัย                                           สัญลักษณ์ในใจชนนี
          กิ่ง "อัญชัน" พันเกลียวเกี่ยวประดับ                 กลีบสลับเวียนเห็นเป็นหลากสี
น้ำอัญชันคั้นจากดอกเป็นยาดี                                    แต่งขนมไทยให้มีรสโอชา
          ใบ "ชบา" มนรีมีปลายแหลม                        เกสรแซมสวยสะอางกลางบุปผา
แดงแสดเหลืองม่วงชมพูดูงามตา                               กุสุมานานาล้านงามงด
          อุบลชาติ "บัวสาย" ลายลำนัก                       ขอบใบหยักจักแหลมชมพูสด
การบูชาอ่อนค้อมน้อมประณต                                   ใช้บงกชบริสุทธิ์นบนอบไป
          "กฤษณา" พฤกษ์ใหญ่ไม้สง่า                        วายุผ่านรุกขาแลไหวไหว
ดอกช่อเล็กกลิ่นฟุ้งจรุงใจ                                        ประโยชน์ใช้มากมายทุกสายพันธุ์
          ช่อ "เฟื่องฟ้า" งามเด่นเห็นระยับ                    ใบประดับมาลีหลากสีสัน
ดอกเฟื่องฟ้ายาเอกสุดสำคัญ                                   ช่วยบำรุงส่งชีวันพลันร่มเย็น
          ตรลบทั่ว "ลีลาวดี" นี้                                 ดอกมีสีแดงขาวส้มชมให้เห็น
แต่โบราณนามลั่นทมจมลำเค็ญ                                 ทั้งยังเป็นบุษบาพาราลาว
          กลิ่น "พิกุล" หอมหวนกระอวลจิต                   ดุจประดิษฐ์ดอกโสภีสีนวลขาว
พิกุลทองยองใยอำไพพราว                                      ส่งอายุยืนยาวนับนานปี
          ผกามาศ "เข็ม" เห็นเป็นช่อใหญ่                     กลีบประกอบมาลัยให้โฉมศรี
สัญลักษณ์สุเมธาปัญญาดี                                      ศิษย์ชลีครูอาจารย์ด้วยผกา


วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

พิกุล โดย นางสาวกตัญญู มหามงคล



ภาพถ่ายนางสาวกตัญญูและดอกพิกุล ณ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา


พิกุล 

  • ชื่อสามัญ               Bullet Wood
  • ชื่อวิทยาศาสตร์     Mimusops elengi Linn.
  • ตระกูล                   SAPOTACEAE
  • ชื่ออื่น                   ไกรทอง

ลักษณะทั่วไป

พิกุลทองเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 8-15 เมตร
ผิวเปลือกสีน้ำตาลเข้ม มีรอยแตกบางๆ ตามยาว ลำต้นแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแน่นกว้างเป็นทรงกลม
ใบออกเรียงสลับกัน ใบมนรูปไข่ปลายแหลม โคนใบมนสอบ ขอบใบโค้งเป็นคลื่น ใบเป็นมันสีเขียว
ออกดอกเป็นกระจุก กลีบดอกเป็นจักรเล็กน้อย ดอกเล็กสีขาวนวลมีกลิ่นหอมมาก ผลรูปไข่หรือรี
ผลแก่มีสีแสดเนื้อในเหลืองรสหวาน ภายในมีเมล็ดเดียว


การเป็นมงคล

คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นพิกุลทองไว้ประจำบ้านจะทำให้มีอายุยืน เพราะโบราณเชื่อว่า
ต้นพิกุลทองเป็นไม้ที่มีความแข็งแรงทนทานและมีอายุยาวนานดังนั้นจึงนิยมใช้เนื้อไม้นำมาใช้
ประโยชน์ในงานพิธีมงคลได้เป็นอย่างดี เช่นด้ามหอกที่ใช้เป็นอาวุธเสาบ้าน พวงมาลัยเรือ
และยังมีความเชื่ออีกว่าต้นพิกุลทองเป็นต้นไม้ที่มีความขลังและศักดิ์สิทธิ์เพราะโบราณเชื่อว่า
เป็นไม้ที่มีเทพเจ้าสิงสถิตอยู่ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูกขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง เพาะเมล็ด
หรือปักชำกิ่ง

การดูแลรักษา

แสง                  ต้องการแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง
น้ำ                    ต้องการปริมาณน้ำน้อย ควรให้น้ำ 7-10 วัน/ครั้ง อายุประมาณ ปี 
                         สามารถทนต่อสภาพธรรมชาติได้
ดิน
                   ชอบดินร่วนซุย มีความชื้นน้อยถึงปานกลาง
ปุ๋ย                   ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 2-3 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ปีละ 4-6 ครั้ง
การขยายพันธุ์
   การตอน การเพาะเมล็ด วิธีที่นิยมและได้ผลดี คือ การเพาะเมล็ด
โรค 
                ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรค เพราะเป็นไม้ที่ทนทานต่อสภาพธรรมชาติพอสมควร
ศัตรู
                หนอนเจาะลำต้น (Stem boring caterpillars)
อาการ              ลำต้นหรือกิ่งเป็นรู เป็นรอย ต่อมาใบแห้งเหี่ยว
การป้องกัน       รักษาความสะอาดบริเวณแปลงปลูก หรือกำจัดแมลงพาหะใช้ยาเช่นเดียวกับการกำจัด
การกำจัด         ใช้ยาไดเมทโธเอท หรือ เมโธมิล อัตราและคำแนะนำระบุไว้ตามฉลาก

ประโยชน์ทางยา

ส่วนที่ใช้เป็นยา
ใบ ดอก เมล็ด เปลือกต้น กระพี้ แก่น ราก

ช่วงเวลาเก็บ
ดอกออกตลอดปี  ล้างทำความสะอาดแล้วตากแห้ง ใช้เป็นยาหรือเครื่องหอมได้

ลีลาวดี โดย นางสาวปรางระริน ติยวัฒนาโรจน์


ภาพถ่ายดอกลีลาวดี โดยนางสาวปรางระริน ณ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
ลีลาวดี...
  • ชื่อสามัญ: Frangipani, Temple tree, Pagoda tree
  • ชื่อวิทยาศาสตร์: Plumeria rubra L.
  • วงศ์: Apocynaceae
  • ชื่ออื่น: ลั่นทม, จำปาลาว, จำปาขอม, จำปาขาว, จงป่า
  • สถานที่ที่พบในโรงเรียน: บริเวณหน้าตึกศิลปะ ข้างสระน้ำคูบัว
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

          ไม้พุ่ม สูง 3-6 เมตร ทุกส่วนมียางสีขาว ใบ ใบเดี่ยวออกเวียนสลับถี่ บริเวณปลายกิ่ง รูปใบหอกหรือใบหอกกลับ กว้าง  5-10 เซนติเมตร ยาว 12-30 เซนติเมตร ปลายและโคนแหลม ดอก มีหลายสีตั้งแต่สีขาว สีส้ม ชมพูเข้ม จนถึงแดงเข้ม กลางดอกสีเหลือง หรือมีแถบสีเหลือง ด้านนอกมักมีสีชมพู มีกลิ่นหอมออกเป็นช่อตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง กลีบดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 กลีบ ซ้อนเหลื่อมกัน ปลายกลีบแหลมหรือมีติ่งแหลม เมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 เซนติเมตร เกสรตัวผู้ 5 อัน สั้น ผล เป็นฝักคู่ รูปยาวรี กว้าง 2-3  เซนติเมตร ยาวประมาณ  25  เซนติเมตร เมล็ด จำนวนมาก แบน มีปีก

ถิ่นกำเนิด

          ทวีปอเมริกากลางและ ทวีปอเมริกาใต้

ประโยชน์

          เปลือกราก เป็นยาถ่ายอย่างแรง เปลือกต้น มีสารจำพวก Iridoid คือ Fulvoplumierin ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ในหลอดทดลอง

ความเชื่อ

          คนโบราณมีความเชื่อว่า ต้นลั่นทมนั้นไม่ควรปลูกในบ้านเพราะมีชื่ออัปมงคลคือ ไปพ้องกับคำว่า ระทม ซึ่งแปลว่า เศร้าโศก ทุกข์ใจ จึงได้มีการเรียกชื่อเสียใหม่ให้เป็นมงคลว่า ลีลาวดี ซึ่งถ้าแปลตามความหมายตามอักษรแล้วหมายถึง ต้นดอกไม้ที่มีท่วงท่าสวยงามอ่อนช้อย
          อย่างไรก็ตามมีผู้มีความรู้ด้านภาษาไทยกล่าวถึงคำว่า ลั่นทม ว่า ลั่นทมที่เรียกกันแต่โบราณ หมายถึง การละแล้วซึ่งความโศกเศร้าแล้วมีความสุข ดังนั้นคำว่า ลั่นทม แท้จริงแล้วเป็นคำผสมจาก ลั่น+ทม โดยคำแรกหมายถึง แตกหัก ละทิ้ง และคำหลังหมายถึงความทุกข์โศก

เกร็ดความรู้

          ดอกลั่นทมเป็นดอกไม้ประจำชาติของประเทศลาว



แหล่งอ้างอิง
http://th.wikipedia.org/wiki/Plumeria
http://www.rspg.or.th/plants_data/kp_bot_garden/kpb_01-9.htm
                       


วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

เฟื่องฟ้า โดย นางสาวศรุตยา ตั้งใจรักการดี

เฟื่องฟ้า

โดย นาสาวศรุตยา ตั้งใจรักการดี


ภาพถ่ายดอกเฟื่องฟ้า ณ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา

   สถานที่พบในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา

พบได้บริเวณช้างสามตัว ด้านข้างโรงอาหารใหญ่ 


ประวัติและข้อมูลทั่วไป


ชื่อสามัญ                  Paper flower
ชื่อวิทยาศาสตร์        Bougainvillea spp.
ตระกูล                     NYCTAGINACEAE
ประเภท                  ไม้เถาเลื้อย
ถิ่นกำเนิด                 บราซิล

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์


เป็นไม้ยืนต้นประเภทพุ่มกึ่งเลื้อย ขนาดตั้งแต่พุ่มเล็กถึงพุ่มใหญ่ มีหนามขึ้นตามลำต้นอยู่ ใบเดี่ยว แตกออก สลับกับกิ่ง หรือเยื้องกัน มีขนขึ้นปกคลุมเล็กน้อย มีสีเขียวหรือใบด่าง รูปร่างรีแหลมยาว 3-6 ซม. กว้าง 2-3 ซม. ใบประดับลักษณ ะคล้ายรูปหัวใจหรือรูปไข่มี 3-5 ใบ มีหลายสี เช่น ม่วง แดง ชมพู ส้ม ฟ้า เหลืองและอื่นๆ มีทั้งดอกสมบูรณ์เพศและไม่สมบูรณ์เพศ ออกเป็นช่อ ตามซอก ใบหรือปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3 ดอก เป็นหลอดยาว 1-2 ซม.
เฟื่องฟ้าถูกค้นพบครั้งแรกในประเทศบราซิลโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสราว ค.ศ. 1766-1769 และได้ถูกนำไปปลูกยังส่วนต่าง ๆ ของโลก เริ่มจากยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชีย สำหรับในประเทศไทย มีการนำพันธุ์เฟื่องฟ้าเข้ามาจากสิงคโปร์ครั้งแรกราว พศ. 2423 ใน สมัยรัชกาลที่ 5พันธุ์เฟื่องฟ้าในประเทศไทยมีไม่น้อยกว่าต่างประเทศ เนื่องจากเฟื่องฟ้าเจริญเติบโตได้ดีในประเทศไทย และกลายพันธุ์เกิดเป็นพันธุ์ใหม่ขึ้นมากมาย


การปลูก และ ดูแลรักษา


เฟื่องฟ้าเป็นพืชที่ต้องการแสงแดดจัดในสภาพกลางแจ้ง ได้รับแสงแดดตลอดวัน ถ้าได้รับแสงแดดไม่เพียงพอจะทำให้สีของใบไม่เข้มออกดอกน้อย ต้องการอุณหภูมิปานกลางหรือร้อนชื้น เฟื่องฟ้าจัดเป็นพืชที่ทนแล้งแต่ถ้าต้นยังเล็กควรให้น้ำอย่างเพียงพอ เมื่อโตขึ้นต้องการน้ำปานกลางถึงค่อนข้างต่ำถ้ารดน้ำมากเกินไปจะไม่ออกดอก

สภาพที่เหมาะสม

น้ำ         ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ 3 - 5 วัน/ครั้ง
ดิน         ดินร่วนซุย ความชุ่มชื้นสม่ำเสมอ
ปุ๋ย         ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น
              ใส่ปีละ 4-6 ครั้ง หรือใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ สูตร 15-15-15อัตรา 200-300 กรัม/ต้น ปีละ 4-6 
ครั้ง                         
     
    การขยายพันธุ์         

ขยายพันธุ์ โดยวิธีการปักชำ ตอน การเสียบยอด


โรคและแมลง   
       
ไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องโรค ส่วนแมลงนั้นจะมีเพลี้ยรบกวนบ้างในบางครั้ง แต่ควรระวังอย่าให้น้ำขังแฉะเพราะจะทำให้รากเน่า การป้องกันกำจัด ใช้ยาฉีดพ่นโดยใช้ ไดอาชินอน ตามที่ระบุไว้ในฉลากยา

พันธุ์เฟื่องฟ้าที่ปลูกเป็นไม้มงคล

1. พันธุ์ดอกสีแดง      ได้แก่  แดงจินดา แดงรัตนา แดงบานเย็น ตรุษจีนด่าง สาวิตรี กฤษณา

2. พันธุ์ดอกสีขาว       ได้แก่  ทัศมาลีดอกขาว ขาวน้ำผึ้ง สุมาลี สุวรรณี
3. พันธุ์ดอกสีชมพู     ได้แก่  ชมพูจินดา ชมพูทิพย์ ชมพูนุช
4. พันธุ์ดอกสีม่วง      ได้แก่  ม่วงประเสริฐศรี พรสุมาลี ม่วงกฤษณา ทัศมาลี
5. พันธุ์ดอกสีส้ม        ได้แก่  สุมาลีสีทอง
6. พันธุ์ดอกสีเหลือง   ได้แก่  เหลืองอรทัย



ความเป็นมงคล

คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นเฟื่องฟ้าไว้ประจำบ้าน สามารถสร้างคุณค่าของชีวิตให้สูงขึ้น เพราะเฟื่องฟ้าเป้นพรรณไม้ ที่ได้รับสมญาว่าเป็นราชินีแห่งไม้ประดับเนื่องจากสามารถนำเฟื่องฟ้าไปใช้ประโยชน์ในด้านสุนทรียภาพเพื่อประดับสวนอาคาร  บ้านเรือนและสถานที่สำคัญต่างๆนอกจากนี้คนไทยโบราณยังมีความเชื่ออีกว่าเฟื่องฟ้าเป็นไม้มงคลทำสำคัญของเทศกาลตรุษจีน เพราะต้นเฟื่องฟ้าสามารถออกดอกสะพรั่งในช่วงเทศกาลตรุษจีนจึงทำให้บางคนเรียกต้นเฟื่องว่าว่าต้นตรุษจีนดังนั้นบางคนเชื่อว่า เมื่อช่วงดอกเฟื่องฟ้าบานแสดงถึง ความเบิกบาน สว่างไสว ความรุ่งเรือง ที่ก้าวไกลแห่งชีวิต




การนำมาประกอบอาหาร

ดอกเฟื่องฟ้าสามารถใช้ประกอบอาหาร แถมยังมีสรรพคุณใช้เข้าเครื่องหอม หรือเป็นยาบำรุงหัวใจ ส่วนที่นำมาประกอบอาหารก็คือ ดอกโดยนิยมนำดอกมาชุบแป้งทอดที่หาซื้อกินกันได้โดยทั่วไป แต่สีที่เห็นนิยมนำมาทอดกันโดยส่วนใหญ่จะเป็นสีม่วง และสามารถที่จะทำรับประทานเองได้

วิธีทำดอกเฟื่องฟ้าชุบแป้งทอด แค่คุณนำดอกเฟื่องฟ้าที่เตรียมไว้แล้ว มาชุบในแป้งชุบทอด รอให้น้ำมันร้อนจัด แล้วใส่ดอกเฟื่องฟ้าที่ชุบแป้งแล้วลงไปทอดจนเหลืองกรอบ ตักขึ้นมารอจนน้ำมันสะเด็ด รับประทานกับน้ำจิ้ม เพื่อเพิ่มรสชาติให้อร่อยมากยิ่งขึ้น

อ้างอิง

http://th.wikipedia.org
http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m6/BotanicalGarden/fuengfar.html
http://www.panmai.com/GardenSong/Flower_16.shtml
http://techno.thepbodint.ac.th/topmenu.php?c=listknowledge&q_id=296

ชมพูพันธุ์ทิพย์ โดย นายชนสิทธิ์ ศิริเศรษฐ์

ชมพูพันธุ์ทิพย์




ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tabebuia rosea (Bertol.) DC.
ชื่อวงศ์ : Bignoniaceae
ชื่อสามัญ :    Pind tecoma,   Pink trumpet tree,    Rosy trumpet-tree
ชื่อพื้นเมือง : ชมพูอินเดีย ตาเบบูยา ธรรมบูชา
ชนิดพืช [Plant Type] : ไม้ต้น
ขนาด [Size] : สูง 15-25 เมตร
สีดอก [Flower Color] : สีชมพูอ่อน ชมพูสด ขาว
ฤดูที่ดอกบาน [Bloom Tiem] : ก.พ.-เม.ย.
อัตราการเจริญเติบโต [Growth Rate] : โตเร็ว
ลักษณะนิสัย [Habitat] : ขึ้นได้ในดินทั่วไป
ความชื้น [Moisture] : ปานกลาง
แสง [Light] : แดดเต็มวัน
ลักษณะทั่วไป (Characteristic) :  ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบ เรือนยอดรูปไข่หรือทรงกลม แผ่กว้าง
เป็นชั้นๆ เปลือกต้นเรียบสีเทาหรือสีน้ำตาล เมื่ออายุมากเปลือกแตกเป็นร่อง กิ่งเปราะหักง่าย
·      ใบ (Foliage) :  ใบประกอบรูปนิ้วมือ ใบย่อย 5 ใบ ก้านใบรวมยาว 5-30 เซนติเมตร ก้านใบย่อยยาว 0.5-2.5 เซนติเมตร ใบรูปขอบขนานหรือรูปไข่แกมรูปรี กว้าง 3-7 เซนติเมตร ยาว 7.5-16 เซนติเมตร   ปลายใบแหลม
หรือเรียวแหลม โคนใบมนหรือสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาสีเขียวเข้ม
·      ดอก (Flower) : สีชมพูอ่อน ชมพูสดและขาว กลางดอกสีเหลือง ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง   มีดอก-
ย่อยจำนวนมาก โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5 แฉก คล้ายรูปแตร   ยาว 5-7 เซนติเมตร มักบาน พร้อมกัน ร่วงง่าย ดอกบานเต็มที่กว้าง 5-8 เซนติเมตร
·      ผล (Fruit) : ผลแห้งแตก เป็นฝักกลม ยาว 15-30 เซนติเมตร เมื่อแก่แตกเป็น 2 ซีก เมล็ดแบน สีน้ำตาล  มีปีก
การใช้งานด้านภูมิทัศน์ (Landscape Used) :  ทรงพุ่มสวย  ดอกสวยมีสีสัน  ให้ร่มเงา  ปลูกริมถนน ลานจอดรถ
ปลูกเป็นกลุ่มในสนามโล่ง ทนน้ำท่วมชัง แต่กิ่งเปราะไม่เหมาะปลูกใกล้สนามเด็กเล่น ดอกร่วงมาก
ประโยชน์ : ใบต้มแก้เจ็บท้องหรือท้องเสียตำให้ละเอียดใส่แผล ลำต้น ใช้ทำฟืน และเยื่อใช้ทำกระดาษได้

อ้างอิง
1.http://agkc.lib.ku.ac.th/plantwebsite/webpage/Trees/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C.html

2.http://www.the-than.com/FLower/Fl-1/58/58.html

กฤษณา โดย นายชลาธร กุลธรชลานันท์

กฤษณา

บริเวณที่พบ สวนสมุนไพร


     ไม้ต้นขนาดใหญ่ ใบเดี่ยวรูปรีหรือรูปไข่กลับ ปลายเรียวแหลม โคนมน ขอบเป็นคลื่นม้วนลงเล็กน้อย ช่อดอกแบบช่อซี่ร่มออกที่ด้านข้างของกิ่งที่ยังอ่อน ดอกเล็กสีเขียวอมเหลือง กลีบรวมติดกันเป็นหลอดสั้นๆ ผลรูปไข่ปลายเป็นติ่งเล็กน้อย และมีขนนุ่มสีน้ำตาลอมเหลืองตามผิวผลหนาแน่น ฐานผลติดอยู่บนกลีบรวม แฉกของกลีบรวมหุ้มแนบผล


ประวัติ
กฤษณา เป็นไม้ที่กล่าวถึงนับแต่ครั้งพุทธกาลในฐานะ ของที่มีค่าหายาก ราคาแพงดั่งทองคำ เป็นหนึ่งในของหอมธรรมชาติสี่อย่างที่เรียกว่า จตุรชาติสุคนธ์ (กฤษณา กะลำพัก จันทน์ และดอกไม้)ไม้กฤษณาเป็นสินค้าต้องห้ามของประชาชนทั่วไปเพราะมีกฎหมายให้ค้าขายได้เฉพาะกษัตริย์มาตั้งแต่โบราณ ต้นกรุงศรีอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ไม้กฤษณาถูกใช้เป็นเครื่องราชบรรณาการ และเป็นสินค้าไปเมืองจีน สรรพคุณของกฤษณาแพร่กระจายไปถึงคาบสมุทรอาหรับในตะวันออกกลาง อาณาจักรกรีก โรมัน อียิปต์โบราณและ ผลผลิตจากต้นกฤษณามีเฉพาะในเอเชีย โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น “ไม้กฤษณา” จึงเป็นสัญลักษณ์ตะวันออกและสุวรรณภูมิหรือประเทศไทยในปัจจุบัน
ในปัจจุบันมีประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่สามารถส่งผลผลิตและผลิตภัณฑ์ไม้กฤษณาออกไปจำหน่ายทั่วโลกอย่างถูกต้องตามกฎหมายและตามอนุสัญญาไซเตส และได้ขึ้นทะเบียนไม้ที่ปลูกกับไซเตรสไว้ครั้งแรกจำนวน 7,404,452 ต้น ซึ่งปัจจุบันมีการปลูกทั่วประเทศประมาณ 15 ล้านต้น และไม่เพียงพอกับตลาดที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน
ความหลากชนิดของพรรณไม้สกุลAquilaria
ไม้กฤษณาเป็นไม้ในตระกูลไธเมลลาอีซีอี (Thymelaeaceae) และสกุลเอควิราเรีย (Aquilaria) ลำต้นขนาดปานกลาง แต่ถ้ามีอายุมากจะมีลำต้นขนาดใหญ่เป็นไม้เนื้อค่อนข้างอ่อน แต่เมื่ออายุมากแล้ว จะมีลักษณะเนื้อไม้ค่อนข้างแข็ง สีเหลืองมีลายสวยงาม เปลือกลอกง่าย ลำต้นตรง สีค่อนข้างแดงผิวเป็นเม็ดตุ่มเล็กๆสีแดง-ดำ เทา เขียวอ่อน เป็นไม้โตเร็ว
ปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 16 ชนิด ตามข้อกำหนดการประชุมกฤษณาโลกครั้งที่ 1 ประเทศเวียดนาม ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้
    Aquilaria apiculata Merr., 1922 แหล่งที่พบคือ ฟิลิปปินส์
    Aquilaria baillonil แหล่งที่พบคือ ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม
    Aquilaria banneonsis แหล่งที่พบคือ เวียดนาม
    Aquilaria beccarian Tiegh. 1893 แหล่งที่พบคือ อินโดนีเซีย
    Aquilaria brachyantha (Merr.) Hallier f. แหล่งที่พบคือ มาเลเซีย
    Aquilaria crassna Pierre ex Lecomte, 1915 แหล่งที่พบคือ ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม
    Aquilaria cumingiana (Decne.) Ridl., det. Ding Hou, 1959 แหล่งที่พบคือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปินส์
    Aquilaria filaria (Oken) Merr., 1950 แหล่งที่พบคือ นิวกินี จีน
    Aquilaria grandiflora Benth., 1861 แหล่งที่พบคือ จีน
    Aquilaria hilata แหล่งที่พบคือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย
    Aquilaria khasiana แหล่งที่พบคือ อินเดีย
    Aquilaria malaccensis Lam., 1783, ชื่อพ้อง A. agallocha และ A. secundaria แหล่งที่พบคือ ไทย อินเดีย อินโดนีเซีย
    Aquilaria microcarpa Baill. แหล่งที่พบคือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย
    Aquilaria rostrata แหล่งที่พบคือ มาเลเซีย
    Aquilaria sinensis Gilg, 1894 แหล่งที่พบคือ จีน
    Aquilaria subintegra Ding Hou แหล่งที่พบคือประเทศไทย
ชนิดพรรณไม้สกุลกฤษณา ชนิดพื้นเมืองที่พบในประเทศไทย มี 5 ชนิด คือ
1.  Aquilaria subintegra วิสัยเป็นไม้พุ่มที่ไม่ให้น้ำมัน ยังไม่พบการใช้เนื้อไม้หอมชนิดนี้ในประเทศไทย พื้นที่จังหวัดที่พบคือ ปัตตานีและยะลา
2.  Aquilaria crassna เป็นชนิดไม้ที่ให้คุณภาพน้ำมันค่อนข้างสูง และปริมาณน้ำมันค่อนข้างมาก พบมากบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ นครนายก ปราจีนบุรี นครราชสีมา บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และบริเวณแถบจังหวัดตราด และจันทบุรี
3.  Aquilaria malaccensis เป็นชนิดไม้ที่ให้คุณภาพน้ำหอมและปริมาณน้ำหอมปานกลาง พบบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย เช่น ประจวบคีรีขันธ์ พัทลุง ตรัง ระนอง ปัตตานี ฯลฯ ตลอดแนวตามรอยตะเข็บชายแดนไทย พม่าขึ้นไปจนถึง รัฐอัสสัม และ ภูฎาน
4.  Aquilaria hirta วิสัยเป็นไม้พุ่มที่ไม่ให้น้ำมัน ยังไม่พบการใช้เนื้อไม้หอมชนิดนี้ในประเทศไทย พื้นที่จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง และแหลมมลายู
5.  Aquilaria rugosa วิสัยเป็นไม้ต้นขนาดกลางพบกระจายอยู่ในไทยและเวียดนาม มีรายงานพบเนื้อไม้หอมในเนื้อไม้ชนิดนี้เช่นกัน แต่เป็นไม้ต้นหายากทำให้ไม่พบแพร่นัก ในประเทศไทยพบขึ้นกระจายพันธุ์อยู่ตามภูเขาสูงในท้องที่จังหวัด เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง อุตรดิตถ์ จนมีชื่อเรียกว่า กฤษณาดอย
การใช้ประโยชน์ของไม้กฤษณา
"สารกฤษณา" มีชื่อทางการค้าหลายชื่อ ได้แก่ agarwood (ยุโรป), aloeswood (สิงคโปร์), eaglewood (สหรัฐอเมริกา),gaharu (อินโดนีเชีย), oudh (อาหรับ), tram (เวียดนาม), jinko (ญี่ปุ่น), chen xiang (จีน) เป็นต้น ปัจจุบันนอกจากชิ้นไม้กฤษณาและน้ำมันกฤษณาที่เป็นสินค้าหลักในตลาดแล้วยังได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกฤษณาให้มีความหลากหลายขึ้น เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากกลุ่มขึ้น โดยผลิตภัณฑ์จากกฤษณาที่เป็นสินค้าวางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นตลาดในแถบเอเชีย เช่น ไทย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ จากการสำรวจของ Phillips (2003) สามารถจำแนกได้ดังนี้
    ท่อนไม้กฤษณา (agarwood branch or trunk section) เป็นท่อนกฤษณาขนาดใหญ่ ซึ่ง เป็นส่วนของกิ่งหรือลำต้นที่มีการสะสมสารกฤษณาเป็นบริเวณพื้นที่กว้างลักษณะเนื้อไม้จะมีสีน้ำตาลเข้มถึงสีดำ ซึ่งจะเรียกว่าไม้เกรด 1 หรือ เกรดซุปเปอร์ (super agarwood) ราคาขายต่อกิโลกรัมจะสูงมาก จากหลักหมื่นจนถึงหลักแสนบาทต่อกิโลกรัมขึ้นอยู่กับคุณภาพของท่อนไม้นั้น ปัจจุบันนี้หาได้ยากมาก
เพราะเป็นกฤษณาที่ได้จากต้นไม้ที่เกิดในธรรมชาติเท่านั้น และมาจากต้นไม้มีอายุมาก ซึ่งมีการสะสมกฤษณามาเป็นเวลานานหลายปีส่วนใหญ่ท่อนกฤษณาลักษณะนี้อาจจะเห็นปรากฏอยู่ในวัด หรือคฤหาสน์ของเศรษฐีเพื่อเป็นสิ่งแสดงความร่ำรวยมั่งคั่งของผู้เป็นเจ้าของ
    ชิ้นไม้ (agarwood pieces) เป็นชิ้นไม้กฤษณาขนาดเล็ก ๆ ดังนั้นจึงมีราคาถูกกว่าไม้ท่อนขนาดใหญ่ ใช้สำหรับจุดเผาเพื่อให้มีกลิ่นหอมนิยมใช้จุดเพื่อต้อนรับแขกของชาวอาหรับและบางคนเชื่อว่าการดมกลิ่นควันจากการเผาชิ้นไม้กฤษณาจะทำให้รักษาโรคบางอย่างได้
    น้ำมันกฤษณา (agaroil) เป็นน้ำมันที่สกัดได้จากกฤษณาเกรด3หรือเกรด4เนื่องจากการสะสมของสารกฤษณามีปริมาณน้อยกว่า ไม่สามารถนำไปขายเป็นชิ้นไม้ได้หน่วยที่ใช้เรียกน้ำมันกฤษณา เรียกว่า โตรา (Tora) มีปริมาณประมาณ 12 กรัมราคาขายกันอยู่ที่ประมาณ 2,400-4800 บาทต่อโตร่าประโยชน์ของน้ำมันกฤษณา คือ นิยมใช้ทาตัวของชาวอาหรับเพื่อให้มีกลิ่นหอมเป็นส่วนผสมของเครื่องยา เป็นส่วนผสมของน้ำหอมและเครื่องสำอางบางชนิด

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้แก่ ผงไม้ที่เหลือจากการกลั่นน้ำมันกฤษณาแล้วนำไปทำธูปหอม ประเทศไต้หวันนำมาทำไวน์ และนำมาปั้นเป็นก้อนผสมน้ำมันกฤษณาและส่วนผสมต่าง ๆ ให้มีกลิ่นหอม เรียกว่า "marmool" ซึ่งผู้หญิงชาวอาหรับนิยมใช้จุดเพื่อให้มีกลิ่นหอม

อ้างอิง
http://th.wikipedia.org/wiki/กฤษณา