กฤษณา
บริเวณที่พบ สวนสมุนไพร
บริเวณที่พบ สวนสมุนไพร

ไม้ต้นขนาดใหญ่ ใบเดี่ยวรูปรีหรือรูปไข่กลับ ปลายเรียวแหลม โคนมน ขอบเป็นคลื่นม้วนลงเล็กน้อย ช่อดอกแบบช่อซี่ร่มออกที่ด้านข้างของกิ่งที่ยังอ่อน ดอกเล็กสีเขียวอมเหลือง กลีบรวมติดกันเป็นหลอดสั้นๆ ผลรูปไข่ปลายเป็นติ่งเล็กน้อย และมีขนนุ่มสีน้ำตาลอมเหลืองตามผิวผลหนาแน่น ฐานผลติดอยู่บนกลีบรวม แฉกของกลีบรวมหุ้มแนบผล
ประวัติ
กฤษณา
เป็นไม้ที่กล่าวถึงนับแต่ครั้งพุทธกาลในฐานะ ของที่มีค่าหายาก ราคาแพงดั่งทองคำ เป็นหนึ่งในของหอมธรรมชาติสี่อย่างที่เรียกว่า จตุรชาติสุคนธ์ (กฤษณา กะลำพัก จันทน์ และดอกไม้)ไม้กฤษณาเป็นสินค้าต้องห้ามของประชาชนทั่วไปเพราะมีกฎหมายให้ค้าขายได้เฉพาะกษัตริย์มาตั้งแต่โบราณ ต้นกรุงศรีอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ไม้กฤษณาถูกใช้เป็นเครื่องราชบรรณาการ และเป็นสินค้าไปเมืองจีน สรรพคุณของกฤษณาแพร่กระจายไปถึงคาบสมุทรอาหรับในตะวันออกกลาง อาณาจักรกรีก โรมัน อียิปต์โบราณและ ผลผลิตจากต้นกฤษณามีเฉพาะในเอเชีย
โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น “ไม้กฤษณา”
จึงเป็นสัญลักษณ์ตะวันออกและสุวรรณภูมิหรือประเทศไทยในปัจจุบัน
ในปัจจุบันมีประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่สามารถส่งผลผลิตและผลิตภัณฑ์ไม้กฤษณาออกไปจำหน่ายทั่วโลกอย่างถูกต้องตามกฎหมายและตามอนุสัญญาไซเตส และได้ขึ้นทะเบียนไม้ที่ปลูกกับไซเตรสไว้ครั้งแรกจำนวน
7,404,452 ต้น ซึ่งปัจจุบันมีการปลูกทั่วประเทศประมาณ 15 ล้านต้น
และไม่เพียงพอกับตลาดที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน
ความหลากชนิดของพรรณไม้สกุลAquilaria
ไม้กฤษณาเป็นไม้ในตระกูลไธเมลลาอีซีอี
(Thymelaeaceae) และสกุลเอควิราเรีย (Aquilaria) ลำต้นขนาดปานกลาง
แต่ถ้ามีอายุมากจะมีลำต้นขนาดใหญ่เป็นไม้เนื้อค่อนข้างอ่อน แต่เมื่ออายุมากแล้ว
จะมีลักษณะเนื้อไม้ค่อนข้างแข็ง สีเหลืองมีลายสวยงาม เปลือกลอกง่าย ลำต้นตรง
สีค่อนข้างแดงผิวเป็นเม็ดตุ่มเล็กๆสีแดง-ดำ เทา เขียวอ่อน เป็นไม้โตเร็ว
ปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด
16 ชนิด ตามข้อกำหนดการประชุมกฤษณาโลกครั้งที่ 1 ประเทศเวียดนาม
ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้
• Aquilaria apiculata Merr., 1922 แหล่งที่พบคือ ฟิลิปปินส์
• Aquilaria baillonil แหล่งที่พบคือ ไทย กัมพูชา
ลาว เวียดนาม
• Aquilaria banneonsis แหล่งที่พบคือ เวียดนาม
• Aquilaria beccarian Tiegh. 1893 แหล่งที่พบคือ อินโดนีเซีย
• Aquilaria brachyantha (Merr.) Hallier f. แหล่งที่พบคือ มาเลเซีย
• Aquilaria cumingiana (Decne.) Ridl., det. Ding Hou, 1959 แหล่งที่พบคือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย
ฟิลิปินส์
• Aquilaria filaria (Oken) Merr., 1950 แหล่งที่พบคือ นิวกินี จีน
• Aquilaria grandiflora Benth., 1861 แหล่งที่พบคือ
จีน
• Aquilaria hilata แหล่งที่พบคือ อินโดนีเซีย
มาเลเซีย
• Aquilaria khasiana แหล่งที่พบคือ อินเดีย
• Aquilaria malaccensis Lam., 1783, ชื่อพ้อง A. agallocha และ A. secundaria
แหล่งที่พบคือ ไทย อินเดีย อินโดนีเซีย
• Aquilaria microcarpa Baill. แหล่งที่พบคือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย
• Aquilaria rostrata แหล่งที่พบคือ มาเลเซีย
• Aquilaria sinensis Gilg, 1894 แหล่งที่พบคือ จีน
• Aquilaria subintegra Ding Hou แหล่งที่พบคือประเทศไทย
ชนิดพรรณไม้สกุลกฤษณา
ชนิดพื้นเมืองที่พบในประเทศไทย มี 5 ชนิด คือ
1. Aquilaria subintegra วิสัยเป็นไม้พุ่มที่ไม่ให้น้ำมัน
ยังไม่พบการใช้เนื้อไม้หอมชนิดนี้ในประเทศไทย พื้นที่จังหวัดที่พบคือ
ปัตตานีและยะลา
2. Aquilaria crassna เป็นชนิดไม้ที่ให้คุณภาพน้ำมันค่อนข้างสูง
และปริมาณน้ำมันค่อนข้างมาก พบมากบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ นครนายก ปราจีนบุรี
นครราชสีมา บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และบริเวณแถบจังหวัดตราด และจันทบุรี
3. Aquilaria malaccensis เป็นชนิดไม้ที่ให้คุณภาพน้ำหอมและปริมาณน้ำหอมปานกลาง
พบบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย เช่น ประจวบคีรีขันธ์ พัทลุง ตรัง ระนอง ปัตตานี ฯลฯ
ตลอดแนวตามรอยตะเข็บชายแดนไทย พม่าขึ้นไปจนถึง รัฐอัสสัม และ ภูฎาน
4. Aquilaria hirta วิสัยเป็นไม้พุ่มที่ไม่ให้น้ำมัน
ยังไม่พบการใช้เนื้อไม้หอมชนิดนี้ในประเทศไทย พื้นที่จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง
และแหลมมลายู
5. Aquilaria rugosa วิสัยเป็นไม้ต้นขนาดกลางพบกระจายอยู่ในไทยและเวียดนาม
มีรายงานพบเนื้อไม้หอมในเนื้อไม้ชนิดนี้เช่นกัน แต่เป็นไม้ต้นหายากทำให้ไม่พบแพร่นัก
ในประเทศไทยพบขึ้นกระจายพันธุ์อยู่ตามภูเขาสูงในท้องที่จังหวัด เชียงใหม่
แม่ฮ่องสอน ลำปาง อุตรดิตถ์ จนมีชื่อเรียกว่า กฤษณาดอย
การใช้ประโยชน์ของไม้กฤษณา
"สารกฤษณา"
มีชื่อทางการค้าหลายชื่อ ได้แก่ agarwood (ยุโรป), aloeswood (สิงคโปร์),
eaglewood (สหรัฐอเมริกา),gaharu (อินโดนีเชีย), oudh (อาหรับ), tram (เวียดนาม),
jinko (ญี่ปุ่น), chen xiang (จีน) เป็นต้น ปัจจุบันนอกจากชิ้นไม้กฤษณาและน้ำมันกฤษณาที่เป็นสินค้าหลักในตลาดแล้วยังได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกฤษณาให้มีความหลากหลายขึ้น
เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากกลุ่มขึ้น
โดยผลิตภัณฑ์จากกฤษณาที่เป็นสินค้าวางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นตลาดในแถบเอเชีย เช่น ไทย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ จากการสำรวจของ
Phillips (2003) สามารถจำแนกได้ดังนี้
• ท่อนไม้กฤษณา (agarwood branch or trunk section) เป็นท่อนกฤษณาขนาดใหญ่
ซึ่ง
เป็นส่วนของกิ่งหรือลำต้นที่มีการสะสมสารกฤษณาเป็นบริเวณพื้นที่กว้างลักษณะเนื้อไม้จะมีสีน้ำตาลเข้มถึงสีดำ
ซึ่งจะเรียกว่าไม้เกรด 1 หรือ เกรดซุปเปอร์ (super agarwood)
ราคาขายต่อกิโลกรัมจะสูงมาก
จากหลักหมื่นจนถึงหลักแสนบาทต่อกิโลกรัมขึ้นอยู่กับคุณภาพของท่อนไม้นั้น
ปัจจุบันนี้หาได้ยากมาก
เพราะเป็นกฤษณาที่ได้จากต้นไม้ที่เกิดในธรรมชาติเท่านั้น
และมาจากต้นไม้มีอายุมาก
ซึ่งมีการสะสมกฤษณามาเป็นเวลานานหลายปีส่วนใหญ่ท่อนกฤษณาลักษณะนี้อาจจะเห็นปรากฏอยู่ในวัด
หรือคฤหาสน์ของเศรษฐีเพื่อเป็นสิ่งแสดงความร่ำรวยมั่งคั่งของผู้เป็นเจ้าของ
• ชิ้นไม้ (agarwood pieces) เป็นชิ้นไม้กฤษณาขนาดเล็ก ๆ
ดังนั้นจึงมีราคาถูกกว่าไม้ท่อนขนาดใหญ่
ใช้สำหรับจุดเผาเพื่อให้มีกลิ่นหอมนิยมใช้จุดเพื่อต้อนรับแขกของชาวอาหรับและบางคนเชื่อว่าการดมกลิ่นควันจากการเผาชิ้นไม้กฤษณาจะทำให้รักษาโรคบางอย่างได้
• น้ำมันกฤษณา (agaroil)
เป็นน้ำมันที่สกัดได้จากกฤษณาเกรด3หรือเกรด4เนื่องจากการสะสมของสารกฤษณามีปริมาณน้อยกว่า
ไม่สามารถนำไปขายเป็นชิ้นไม้ได้หน่วยที่ใช้เรียกน้ำมันกฤษณา เรียกว่า โตรา (Tora)
มีปริมาณประมาณ 12 กรัมราคาขายกันอยู่ที่ประมาณ 2,400-4800
บาทต่อโตร่าประโยชน์ของน้ำมันกฤษณา คือ
นิยมใช้ทาตัวของชาวอาหรับเพื่อให้มีกลิ่นหอมเป็นส่วนผสมของเครื่องยา
เป็นส่วนผสมของน้ำหอมและเครื่องสำอางบางชนิด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น