วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

กฤษณา โดย นายชลาธร กุลธรชลานันท์

กฤษณา

บริเวณที่พบ สวนสมุนไพร


     ไม้ต้นขนาดใหญ่ ใบเดี่ยวรูปรีหรือรูปไข่กลับ ปลายเรียวแหลม โคนมน ขอบเป็นคลื่นม้วนลงเล็กน้อย ช่อดอกแบบช่อซี่ร่มออกที่ด้านข้างของกิ่งที่ยังอ่อน ดอกเล็กสีเขียวอมเหลือง กลีบรวมติดกันเป็นหลอดสั้นๆ ผลรูปไข่ปลายเป็นติ่งเล็กน้อย และมีขนนุ่มสีน้ำตาลอมเหลืองตามผิวผลหนาแน่น ฐานผลติดอยู่บนกลีบรวม แฉกของกลีบรวมหุ้มแนบผล


ประวัติ
กฤษณา เป็นไม้ที่กล่าวถึงนับแต่ครั้งพุทธกาลในฐานะ ของที่มีค่าหายาก ราคาแพงดั่งทองคำ เป็นหนึ่งในของหอมธรรมชาติสี่อย่างที่เรียกว่า จตุรชาติสุคนธ์ (กฤษณา กะลำพัก จันทน์ และดอกไม้)ไม้กฤษณาเป็นสินค้าต้องห้ามของประชาชนทั่วไปเพราะมีกฎหมายให้ค้าขายได้เฉพาะกษัตริย์มาตั้งแต่โบราณ ต้นกรุงศรีอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ไม้กฤษณาถูกใช้เป็นเครื่องราชบรรณาการ และเป็นสินค้าไปเมืองจีน สรรพคุณของกฤษณาแพร่กระจายไปถึงคาบสมุทรอาหรับในตะวันออกกลาง อาณาจักรกรีก โรมัน อียิปต์โบราณและ ผลผลิตจากต้นกฤษณามีเฉพาะในเอเชีย โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น “ไม้กฤษณา” จึงเป็นสัญลักษณ์ตะวันออกและสุวรรณภูมิหรือประเทศไทยในปัจจุบัน
ในปัจจุบันมีประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่สามารถส่งผลผลิตและผลิตภัณฑ์ไม้กฤษณาออกไปจำหน่ายทั่วโลกอย่างถูกต้องตามกฎหมายและตามอนุสัญญาไซเตส และได้ขึ้นทะเบียนไม้ที่ปลูกกับไซเตรสไว้ครั้งแรกจำนวน 7,404,452 ต้น ซึ่งปัจจุบันมีการปลูกทั่วประเทศประมาณ 15 ล้านต้น และไม่เพียงพอกับตลาดที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน
ความหลากชนิดของพรรณไม้สกุลAquilaria
ไม้กฤษณาเป็นไม้ในตระกูลไธเมลลาอีซีอี (Thymelaeaceae) และสกุลเอควิราเรีย (Aquilaria) ลำต้นขนาดปานกลาง แต่ถ้ามีอายุมากจะมีลำต้นขนาดใหญ่เป็นไม้เนื้อค่อนข้างอ่อน แต่เมื่ออายุมากแล้ว จะมีลักษณะเนื้อไม้ค่อนข้างแข็ง สีเหลืองมีลายสวยงาม เปลือกลอกง่าย ลำต้นตรง สีค่อนข้างแดงผิวเป็นเม็ดตุ่มเล็กๆสีแดง-ดำ เทา เขียวอ่อน เป็นไม้โตเร็ว
ปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 16 ชนิด ตามข้อกำหนดการประชุมกฤษณาโลกครั้งที่ 1 ประเทศเวียดนาม ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้
    Aquilaria apiculata Merr., 1922 แหล่งที่พบคือ ฟิลิปปินส์
    Aquilaria baillonil แหล่งที่พบคือ ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม
    Aquilaria banneonsis แหล่งที่พบคือ เวียดนาม
    Aquilaria beccarian Tiegh. 1893 แหล่งที่พบคือ อินโดนีเซีย
    Aquilaria brachyantha (Merr.) Hallier f. แหล่งที่พบคือ มาเลเซีย
    Aquilaria crassna Pierre ex Lecomte, 1915 แหล่งที่พบคือ ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม
    Aquilaria cumingiana (Decne.) Ridl., det. Ding Hou, 1959 แหล่งที่พบคือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปินส์
    Aquilaria filaria (Oken) Merr., 1950 แหล่งที่พบคือ นิวกินี จีน
    Aquilaria grandiflora Benth., 1861 แหล่งที่พบคือ จีน
    Aquilaria hilata แหล่งที่พบคือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย
    Aquilaria khasiana แหล่งที่พบคือ อินเดีย
    Aquilaria malaccensis Lam., 1783, ชื่อพ้อง A. agallocha และ A. secundaria แหล่งที่พบคือ ไทย อินเดีย อินโดนีเซีย
    Aquilaria microcarpa Baill. แหล่งที่พบคือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย
    Aquilaria rostrata แหล่งที่พบคือ มาเลเซีย
    Aquilaria sinensis Gilg, 1894 แหล่งที่พบคือ จีน
    Aquilaria subintegra Ding Hou แหล่งที่พบคือประเทศไทย
ชนิดพรรณไม้สกุลกฤษณา ชนิดพื้นเมืองที่พบในประเทศไทย มี 5 ชนิด คือ
1.  Aquilaria subintegra วิสัยเป็นไม้พุ่มที่ไม่ให้น้ำมัน ยังไม่พบการใช้เนื้อไม้หอมชนิดนี้ในประเทศไทย พื้นที่จังหวัดที่พบคือ ปัตตานีและยะลา
2.  Aquilaria crassna เป็นชนิดไม้ที่ให้คุณภาพน้ำมันค่อนข้างสูง และปริมาณน้ำมันค่อนข้างมาก พบมากบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ นครนายก ปราจีนบุรี นครราชสีมา บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และบริเวณแถบจังหวัดตราด และจันทบุรี
3.  Aquilaria malaccensis เป็นชนิดไม้ที่ให้คุณภาพน้ำหอมและปริมาณน้ำหอมปานกลาง พบบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย เช่น ประจวบคีรีขันธ์ พัทลุง ตรัง ระนอง ปัตตานี ฯลฯ ตลอดแนวตามรอยตะเข็บชายแดนไทย พม่าขึ้นไปจนถึง รัฐอัสสัม และ ภูฎาน
4.  Aquilaria hirta วิสัยเป็นไม้พุ่มที่ไม่ให้น้ำมัน ยังไม่พบการใช้เนื้อไม้หอมชนิดนี้ในประเทศไทย พื้นที่จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง และแหลมมลายู
5.  Aquilaria rugosa วิสัยเป็นไม้ต้นขนาดกลางพบกระจายอยู่ในไทยและเวียดนาม มีรายงานพบเนื้อไม้หอมในเนื้อไม้ชนิดนี้เช่นกัน แต่เป็นไม้ต้นหายากทำให้ไม่พบแพร่นัก ในประเทศไทยพบขึ้นกระจายพันธุ์อยู่ตามภูเขาสูงในท้องที่จังหวัด เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง อุตรดิตถ์ จนมีชื่อเรียกว่า กฤษณาดอย
การใช้ประโยชน์ของไม้กฤษณา
"สารกฤษณา" มีชื่อทางการค้าหลายชื่อ ได้แก่ agarwood (ยุโรป), aloeswood (สิงคโปร์), eaglewood (สหรัฐอเมริกา),gaharu (อินโดนีเชีย), oudh (อาหรับ), tram (เวียดนาม), jinko (ญี่ปุ่น), chen xiang (จีน) เป็นต้น ปัจจุบันนอกจากชิ้นไม้กฤษณาและน้ำมันกฤษณาที่เป็นสินค้าหลักในตลาดแล้วยังได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกฤษณาให้มีความหลากหลายขึ้น เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากกลุ่มขึ้น โดยผลิตภัณฑ์จากกฤษณาที่เป็นสินค้าวางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นตลาดในแถบเอเชีย เช่น ไทย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ จากการสำรวจของ Phillips (2003) สามารถจำแนกได้ดังนี้
    ท่อนไม้กฤษณา (agarwood branch or trunk section) เป็นท่อนกฤษณาขนาดใหญ่ ซึ่ง เป็นส่วนของกิ่งหรือลำต้นที่มีการสะสมสารกฤษณาเป็นบริเวณพื้นที่กว้างลักษณะเนื้อไม้จะมีสีน้ำตาลเข้มถึงสีดำ ซึ่งจะเรียกว่าไม้เกรด 1 หรือ เกรดซุปเปอร์ (super agarwood) ราคาขายต่อกิโลกรัมจะสูงมาก จากหลักหมื่นจนถึงหลักแสนบาทต่อกิโลกรัมขึ้นอยู่กับคุณภาพของท่อนไม้นั้น ปัจจุบันนี้หาได้ยากมาก
เพราะเป็นกฤษณาที่ได้จากต้นไม้ที่เกิดในธรรมชาติเท่านั้น และมาจากต้นไม้มีอายุมาก ซึ่งมีการสะสมกฤษณามาเป็นเวลานานหลายปีส่วนใหญ่ท่อนกฤษณาลักษณะนี้อาจจะเห็นปรากฏอยู่ในวัด หรือคฤหาสน์ของเศรษฐีเพื่อเป็นสิ่งแสดงความร่ำรวยมั่งคั่งของผู้เป็นเจ้าของ
    ชิ้นไม้ (agarwood pieces) เป็นชิ้นไม้กฤษณาขนาดเล็ก ๆ ดังนั้นจึงมีราคาถูกกว่าไม้ท่อนขนาดใหญ่ ใช้สำหรับจุดเผาเพื่อให้มีกลิ่นหอมนิยมใช้จุดเพื่อต้อนรับแขกของชาวอาหรับและบางคนเชื่อว่าการดมกลิ่นควันจากการเผาชิ้นไม้กฤษณาจะทำให้รักษาโรคบางอย่างได้
    น้ำมันกฤษณา (agaroil) เป็นน้ำมันที่สกัดได้จากกฤษณาเกรด3หรือเกรด4เนื่องจากการสะสมของสารกฤษณามีปริมาณน้อยกว่า ไม่สามารถนำไปขายเป็นชิ้นไม้ได้หน่วยที่ใช้เรียกน้ำมันกฤษณา เรียกว่า โตรา (Tora) มีปริมาณประมาณ 12 กรัมราคาขายกันอยู่ที่ประมาณ 2,400-4800 บาทต่อโตร่าประโยชน์ของน้ำมันกฤษณา คือ นิยมใช้ทาตัวของชาวอาหรับเพื่อให้มีกลิ่นหอมเป็นส่วนผสมของเครื่องยา เป็นส่วนผสมของน้ำหอมและเครื่องสำอางบางชนิด

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้แก่ ผงไม้ที่เหลือจากการกลั่นน้ำมันกฤษณาแล้วนำไปทำธูปหอม ประเทศไต้หวันนำมาทำไวน์ และนำมาปั้นเป็นก้อนผสมน้ำมันกฤษณาและส่วนผสมต่าง ๆ ให้มีกลิ่นหอม เรียกว่า "marmool" ซึ่งผู้หญิงชาวอาหรับนิยมใช้จุดเพื่อให้มีกลิ่นหอม

อ้างอิง
http://th.wikipedia.org/wiki/กฤษณา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น